- 0.0 (0)
- |
- ขายได้: 0
คอรัปชั่น คือ การทุจริตโดยใช้หรืออาศัยตำแหน่งหน้าที่อำนาจและอิทธิพลที่ตนมีอยู่เพื่อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น การเห็นแก่ญาติพี่น้อง กินสินบน ฉ้อราษฎร์บังหลวง การใช้ระบบอุปถัมภ์และความไม่เป็นธรรมอื่นๆที่ข้าราชการหรือบุคคลใดใช้เป็นเครื่องมือในการลิดรอนความเป็นธรรม
คอรัปชั่น หมายถึง ความผิดที่ระบุไว้ในประมวลกฏหมายอาญา อันได้แก่ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดที่เกี่ยวกับความยุติธรรมและความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ซึ่งกล่าวง่ายๆ คือ การกระทำเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรชอบได้ด้วยกฏหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เช่น
1. การเบียดบังทรัพย์ของทางราชการเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต
2. การใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ
3. การบอกว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน
รากเหง้าของปัญหา
ปัญหาการคอรัปชั่นเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่สลับซับซ้อน ซึ่งไม่ใช่มีผลกระทบต่อประเทศหนึ่งใดเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อทุกประเทศในโลกนี้ การคอรัปชั่นถือว่าเป็นปัญหาระดับโลก ดังนั้น องค์การสหประชาชาติจึงสร้างเครื่องมือระหว่างประเทศ ในการดำเนินการทางกฎหมายกับพวกทุจริตคอรัปชั่นทั้งหลาย ที่มักหลบหนีออกจากประเทศของตนไปเสวยสุขในประเทศอื่น โดยประเทศสมาชิกได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านคอรัปชั่น ตั้งแต่นี้ไป สมาชิกสหประชาชาติมีข้อผูกมัดที่ต้องให้ความร่วมมือในการป้องกัน ปราบปรามการคอรัปชั่น ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และในวงการการเมืองและการเงินระดับสูง เพราะสหประชาชาติถือว่า “การคอรัปชั่น เป็นการทำร้ายคนยากจน เพราะเบียดบังเงินที่รัฐตั้งใจจะนำมาพัฒนาบ้านเมือง กลับเบียดบังเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตน พวกพ้อง อันเป็นการบ่อนทำลายขีดความสามารถของรัฐบาล ที่จะให้บริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชาชน ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันและความอยุติธรรมในสังคม ทำให้ต่างประเทศไม่เข้ามาลงทุนหรือให้ความช่วยเหลือ
นอกจากนี้ การคอรัปชั่นยังเป็นการบ่อนทำลายสถาบันประชาธิปไตย ขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจ และทำให้รัฐบาลไร้เสถียรภาพ ที่ว่าบ่อนทำลายประชาธิปไตย เพราะเนื่องจากมีการบิดเบือนกระบวนการประชาธิปไตย หลักนิติธรรม ด้วยการให้เงินสินบน จ่ายเงินซื้อเสียงเมื่อเข้าไปแล้วก็หาทางถอนทุน (บวกกำไร) ฯลฯ ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่อยากมาลงทุน เช่นเดียวกับนักลงทุนภายในประเทศ เพราะมีรายจ่ายจำบัง ในต้นทุน ทำให้นักลงทุนต่างชาติไปลงทุนในประเทศที่มีความโปร่งใสแทน
สหประชาชาติได้เน้นเรื่องการป้องกันเป็นสำคัญ โดยมีบทหนึ่งว่าด้วยเรื่องการป้องกันเป็นการเฉพาะมุ่งไปที่ภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ ให้ประเทศต่างๆ ตั้งองค์กรขึ้นมาเฉพาะเรื่องการป้องกันและปราบปรามคอรัปชั่นโดยตรง (ป.ป.ช.) รวมทั้งสร้างความโปร่งใสในการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ภาคราชการเน้นเรื่องการคัดเลือกคนทำงานอย่างโปร่งใส ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ข้าราชการต้องปฏิบัติตามวินัยราชการอย่างเคร่งครัด ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต้องโปร่งใสเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ฯลฯ นอกจากนั้น สหประชาชาติได้ส่งเสริมบทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชน หรือ NGO ให้ช่วยสอดส่องดูแลการคอรัปชั่น รวมทั้งกระตุ้นจิตสำนึกของประชาชน ให้ช่วยตรวจสอบการคอรัปชั่น สหประชาชาติมองว่า “การคอรัปชั่นคืออาชญากรรม” ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญา ต้องกำหนดให้การคอรัปชั่นเป็นอาชญากรรม การให้สินบน การโกงเงินหลวง การปกปิดบัญชีทรัพย์สิน การฟอกเงิน การขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ ถือว่าเป็นการคอรัปชั่นด้วยเช่นกัน
การคอรัปชั่นถือว่าเป็นปัญหาระดับโลก ดังนั้นประเทศต่างๆ จึงต้องร่วมมือกันในการป้องกัน สืบสวน นำตัวคนโกงมาลงโทษ ประเทศที่ลงนามมีข้อผูกมัดที่จะต้องให้ความร่วมมือในการรวบรวมและจัดส่งหลักฐานสำหรับใช้ในศาล การแกะรอย การอายัดทรัพย์ การยึดทรัพย์ จัดส่งคนโกงกลับประเทศ ต้นทาง สหประชาชาติได้เน้นความร่วมมือแกะรอยเส้นทางเดินของเงิน การค้นหาทรัพย์สินที่โกงมาและนำมาซุกซ่อนไว้ โดยถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะนักการเมืองในประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจน มักมีการคอรัปชั่นสูง โดยการยักยอกความมั่งคั่งของชาติมาเป็นของตัวและครอบครัว หากค้นพบทรัพย์สินที่ถูกนำมาซุกซ่อนไว้ และพิสูจน์ได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่โกงมา ประเทศที่ได้รับการร้องขอต้องคืนทรัพย์สินทั้งหมดไปให้ประเทศที่ร้องขอมา บนสมมติฐานที่ว่า “คนโกงต้องไม่มีที่ยืนบนโลกนี้ ทรัพย์สินที่โกงมาต้องไม่มีที่ซุกซ่อนบนโลกนี้” ถ้าทุกประเทศร่วมมือกันต่อต้านการคอรัปชั่นอย่างจริงจัง โลกคงเจริญและมีความสุขมากกว่าทุกวันนี้ จะเห็นได้ว่า ทั้งที่มีตัวอย่างผู้นำหลายประเทศถูกจำคุกหรือถูกเปิดโปง เพราะการทุจริตคอรัปชั่นระหว่างที่อยู่ในอำนาจ แต่ก็ยังมีผู้นำที่ใช้อำนาจแสวงหารายได้อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย พูดง่ายๆ ก็คือ การทุจริตคอรัปชั่นนั่นเอง ยกตัวอยู่ผู้นำประเทศที่ต้องประสพชะตากรรมอยู่ในขณะนี้คือ
กรณีนายเฉิน สุยเปี่ยน
นายเฉิน สุยเปี่ยน อดีตประธานาธิบดีไต้หวัน หลังถูกอัยการกล่าวหาว่าทุจริตคอรัปชั่น และถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ นับว่าเป็นประธานาธิบดีคนแรกของไต้หวัน ที่ถูกอัยการห้ามนอกประเทศ เพราะถ้าไม่ห้ามไว้ก่อน นายเฉิน สุยเปี่ยน และภรรยาอาจหลบหนีไปต่างประเทศ ทำให้รัฐไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษและยึดเงินหลวงคืนได้ จากหลักฐานที่อัยการยึดได้จากบ้านพักนายเฉินฯ รวม 5 กล่องกระดาษ และคอมพิวเตอร์อีก 3 เครื่อง พบว่า ครอบครัวนายเฉิน ส่งเงินจำนวนมากไปฝากที่ธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ เกาะคีย์แมน และที่อื่นๆ รวมทั้งยังพบบัญชีธนาคารอีก 4 บัญชี ที่เปิดไว้สำหรับการโอนเงินเข้าออก เพื่อการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เป็นเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์ไต้หวัน รวมทั้งยักยอกเงินไว้ในอีก 4 บัญชี โดยไม่ยอมแจ้งทรัพย์สินให้กับ ป.ป.ช.ไต้หวันทราบ
กรณีนายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส
นายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส อดีตประธานาธิบดีของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีการบันทึกเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่า มาร์กอส คือตำนานที่แท้จริง ของคนที่ทำลายประเทศที่ตนถือกำเนิดจนย่อยยับไปคามือ พร้อมทั้งปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน ด้วยวิธีการฉ้อฉล ซ่อนเงื่อน จนประเทศของตัวเต็มไปด้วยหนี้สินจำนวนมหาศาล นอกจากนั้นมาร์กอส ยังกำจัดศัตรูทางการเมืองของเขา ด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยม ป่าเถื่อน โดยเชื่อว่า
อำนาจที่ล้นฟ้าในฐานะประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ จะสามารถการันตีได้ว่า ใครหน้าไหนก็ไม่มีทางคว่ำเขาลงได้ แต่ท้ายที่สุด มาร์กอส ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อพลังประชาชน และถูกชนะโดยความถูกต้อง จนกระทั่งต้องออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ โดยที่เขาและครอบครัว ไม่เชื่อสายตาของตัวเองเลย
มาร์กอส มีทรัพย์สินมูลค่ามากกว่า 1.4 ล้านล้านบาทไทย เขาใช้ทรัพย์สินเหล่านี้รวบรวมกำลังคนและสรรพกำลังต่างๆ เพื่อวางแผนกลับมาครองอำนาจในฟิลิปปินส์อีก ทั้งๆ ที่ตัวเองลี้ภัยอยู่ในฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สุดท้าย เขาก็จากโลกนี้ไปด้วยโรคหัวใจ ในวัย 72 ปี ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา กว่า ร่างของมาร์กอส จะถูกนำตัวกลับมาทำพิธีศพที่แผ่นดินเกิด ต้องกินเวลานานถึง 7 ปี นับจากถูกขับออกจากประเทศ แม้นางอีเมลดา มาร์กอส ภรรยาของเขาจะร้องขอให้ศพของมาร์กอส ได้รับการฝังที่ “สุสานของวีรบุรุษ” ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ แต่ได้รับการปฏิเสธ สุดท้ายศพของเขาจึงตั้งไว้ที่สุสานในบ้านเกิดของเขาเอง โดยไม่มีการฝังศพลงใต้ดิน หากแต่เก็บไว้ในจุดที่คนทั่วไปสามารถมองเห็นและทำความเคารพอดีตประธานาธิบดีคนนี้ได้ตลอดเวลา
กรณี พล.อ.ซูฮาร์โต
ในปี 2509 ซูฮาร์โตจัดการยึดอำนาจจาก ซูการ์โน ประธานาธิบดีคนแรก หลังได้รับเอกราชของอินโดนีเซีย (เสียชีวิตในระหว่างถูกควบคุมตัวในปี 2513) ทำให้รัฐสภาอินโดนีเซียในเวลานั้นกลายเป็นสภาตรายาง เลือกซูฮาร์โตขึ้นเป็นประธานาธิบดี โดยที่เขาได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้โดยไร้คู่แข่งในอีก 6 ครั้งต่อมา ระหว่างสงครามเย็น ซูฮาร์โตกลายเป็นขวัญใจของโลกตะวันตก เขาอาศัยห้วงเวลาดังกล่าวส่งกำลังทหารเข้ายึดครองปาปัวในปี 2512 และติมอร์ตะวันออก ในปี 2517 แต่ผู้ที่ไม่ชอบขี้หน้า ซูฮาร์โต ยังเห็นพ้องว่า การใช้นโยบายแข็งกร้าวของเขา ได้กลายเป็นผลดีในการกดดันกลุ่มหัวรุนแรงไม่ให้เกิดและเติบใหญ่ในประเทศ ซูฮาร์โตจับกุมคุมขังผู้ต้องสงสัยเป็นพวกหัวรุนแรงทางศาสนา จำนวนหลายพันคนโดยไม่ต้องไต่สวน
ซูฮาร์โต ได้รับฉายานามจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยในเวลาต่อมาว่า มาเฟียแห่งเบิร์กลีย์ หลังจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ ประสาทปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้ ในฐานะเป็นผู้พลิกโฉมหน้าเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้ นับเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์ ปลายทศวรรษ 1980 ซูฮาร์โต อธิบายถึงตัวเองไว้ว่าเป็นบิดาแห่งพัฒนาการของอินโดนีเซีย อ้างเครดิตจากการลดปริมาณคนยากจนลง (อย่างช้าๆ) และการทำประเทศ (บางส่วน) ให้ทันสมัย แต่รัฐบาลภายใต้การนำของเขายิ่งนับวันยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ ในด้านคอร์รัปชั่น เล่นพรรคเล่นพวก และกลายเป็นประเทศที่มีการฉ้อฉล ติดอันดับสูงสุดของโลกอย่างสม่ำเสมอ ในเวลาเดียวกับที่คนวงในของเขาเองสั่งสมความมั่งคั่งมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งทุกวันนี้ลูกๆ ของซูฮาร์โต ที่เกิดจาก สิตี ฮาร์ตินาห์ ภรรยาที่เสียชีวิตไปเมื่อปี 2539 ยังคงมีอิทธิพลทั้งในแวดวงธุรกิจ, การเมือง แม้กระทั่งศาล นั่นคือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ตราบจนสิ้นลม ซูฮาร์โต ไม่เคยไปปรากฏตัวตอบข้อกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่น หรือละเมิดสิทธิมนุษยชน แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่ากับศาลไหนๆ
กรณีอดีตผู้นำของไทย
คนเราเกิดมาในโลก อยากทำดีด้วยกันทั้งนั้นแต่หลายๆ ครั้ง ทำดีได้พักใหญ่ พอนานวันเข้า ความดีเกิดหมด และความเลวกลับเข้ามาแทนที่โดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลที่เป็นผู้นำของประเทศด้วยแล้ว พอได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นใหญ่ในสมัยแรก มักจะทำคุณงามความดีเอาไว้มาก และได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง พอได้รับเลือกเข้ามาในสมัยที่สองการกลับเปลี่ยนไป ความหลงตัวลืมตัว ความอยากได้ใคร่ดีเกินความเหมาะสม ตลอดจนบุคคลที่รายล้อมอยู่รอบข้าง ได้ทำให้ผู้นำหลายคนต้องพบจุดจบอย่างที่เห็น
บทเรียนจากกรณีผู้นำของไทย
หากย้อนเวลากลับไปในช่วงก่อนที่เข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศ ส่วนใหญ่มักจะประกาศเป็นนโยบายว่าจะบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดเอาเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศ (ที่กู้มาจำนวนมหาศาล) ไปแจกให้กับประชาชนบางกลุ่ม เพียงเพื่อสร้างคะแนนนิยม สร้างฐานอำนาจให้กับตัวเอง ด้วยวิธีการต่างๆ เพราะนั่นถือว่าเป็นการทุจริตทางจริยธรรม รวมทั้งเคยกล่าวว่าจะสร้างการเมืองใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความขัดแย้ง แต่ข้อเท็จจริงสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งผลของการกระทำจึงย้อนกลับมาเล่นงานอยู่ในทุกวันนี้ ตามกฎแห่งกรรมที่ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ครั้นคิดจะย้อนเวลากลับไปแก้ตัว ก็ทำไม่ได้แล้วเพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีเครื่องย้อนเวลาวางขาย ชีวิตของผู้นำ จึงเหลือแต่เวลาที่จะเคลื่อนไปข้างหน้า รอว่าจุดจบจะเป็นดั่งเช่นอดีตผู้นำที่ผ่านๆ มาหรือไม่
แนวทางปฏิบัติของผู้นำ
แนวทางที่ใช้กับผู้นำประเทศ เพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง หรือเป็นเครื่องสำหรับยึดเหนี่ยวจิตใจ ก็คือ ทศพิธราชธรรม อันหมายถึง หลักธรรม ที่พึงปฏิบัติในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีหน้าที่เป็นพระมหากษัตริย์ ผู้ปกครองประชาชนให้มีความสุขโดยธรรม และธรรมคือหน้าที่ คือเป็นสิ่งที่พึงทำของพระองค์ ซึ่งมีมาตั้งแต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ทรงขึ้นครองราชย์สมบัติ ตามที่ได้มีพระปฐมบรมราชโองการไว้ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ธรรมคือหน้าที่ดังกล่าวนี้ เป็นข้อที่จะพึงทรงปฏิบัติ และทุกๆ คน อันหมายถึงผู้ปกครองที่มีระดับเป็นรัฐบาล ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ตลอดถึงประชาชนทั้งปวง เมื่อเป็นขึ้นมาอย่างใด ก็ย่อมมีธรรมคือหน้าที่ คือเป็นกิจที่พึงปฏิบัติเกิดขึ้นทันที
---------------------------------
- 0
- 3 ปีที่ผ่านมา
รายละเอียดเพิ่มเติม
-
รหัสข้อสอบS9050630
-
รหัสข้อสอบS9050630