- 0.0 (0)
- |
- ขายได้: 0
1. การประพฤติธรรม หมายถึง การทำหน้าที่ให้เกิดความยุติธรรม ปราศจากความลำเอียง เพราะเหตุ 4 ประการ คือ
1) ไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่นำความรัก ความชอบ ความคุ้นเคยสนิทสนมมาทำให้เสียความชอบธรรม (ฉันทาคติ)
2) ไม่ลำเอียงเพราะความเกลียดชัง ไม่นำเรื่องส่วนตัวมาปนกับการทำหน้าที่การงาน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง (โทสาคติ)
3) ไม่ลำเอียงเพราะความหลง ใช้เหตุผลในการพิจารณาแก้ไขปัญหาตัดสินปัญหา ต้องฟังหูไว้หู ไม่เชื่อใครง่ายๆ ต้องเป็นตัวของตัวเองในการวิเคราะห์งานและการตัดสินใจ ไม่เชื่อตามเขาว่า เพราะเขาเหล่านั้นเป็นเพื่อนสนิทของเรา (โมหาคติ)
4) ไม่ลำเอียงเพราะกลัวภัย ในการทำหน้าที่การงาน ไม่ต้องหวั่นไหวกลัวอิทธิพลต่างๆ แม้จะถูกข่มขู่กดดัน ก็จงพยายามทำหน้าที่ ถูกต้องตามระเบียบกฎหมายและศีลธรรม แม้จะเสียชีวิตก็ยอม เพื่อรักษาความเป็นธรรม (ภยาคติ)
2. ประพฤติตามธรรม หมายถึง การทำหน้าที่ชีวิตตามหลักคำสอนในศาสนา เช่น การทำหน้าที่ให้อยู่ในกรอบของ เบญจศีล กุศลกรรมบถ 10 มีดังนี้
1) ละการฆ่าการเบียดเบียน ให้มีเมตตากรุณา ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
2) ละการลักขโมย เคารพสิทธิในทรัพย์สินของผู้อื่น
3) ละการประพฤติผิดในกาม ไม่ล่วงละเมิดประเพณีทางเพศ
4) ละการพูดเท็จ พูดคำจริง รักษาความสัตย์
5) ละการพูดส่อเสียด พูดคำสมานสามัคคี
6) ละการพูดเพ้อเจ้อ พูดคำเป็นประโยชน์
7) ละการพูดคำหยาบ ส่งเสริมการพูดวาจาไพเราะอ่อนหวาน
8) ไม่เพ่งเล็งอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่น ส่งเสริมการเสียสละแบ่งปัน
9) ไม่มีจิตคิดร้าย คิดปรารถนาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนไม่มีทุกข์
10) มีความเห็นชอบ เช่น ทานมีผล การบูชามีผล กรรมดีกรรมชั่วมีผล
3. พัฒนาจิตให้มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป
4. เจริญสมาธิ และเจริญพรหมวิหารธรรม ได้แก่
1) เมตตา มีความรักใคร่ปรารถนาดี อยากให้เพื่อนมนุษย์สัตว์มีความสุข
2) กรุณา มีความสงสารคิดช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ดีมีสุข หรือได้ดี
3) มุทิตา มีความยินดีเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข หรือได้ดี
4) อุเบกขา มีใจเป็นกลาง เที่ยงธรรม ไม่เอนเอียง เพราะรักและชัง
5. มีระเบียบวินัยและเคารพกฎหมาย
6. ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และรับผิดชอบ
7. มีความขยันหมั่นเพียร ประหยัด และอดออมในการทำหน้าที่
8. ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ หมายความว่า ปฏิบัติหน้าที่เพื่อบริการผู้อื่นไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และรางวัลใดๆ เป็นเครื่องตอบแทน ในการทำหน้าที่นั้นๆ
9. การปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เพื่อลดความโลภ โกรธ หลง หมายถึง การทำหน้าที่เพื่อกำจัดกิเลส
10. อื่นๆ
หลักธรรมที่ควรยึดถือปฏิบัติ
หลักธรรมที่คนในสังคมควรประพฤติปฏิบัติ คือ ทศพิธราชธรรม หมายถึง หลักธรรมที่พึงปฏิบัติในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงมีหน้าที่เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองประชาชนให้มีความสุขโดยธรรม และธรรมคือหน้าที่ คือเป็นสิ่งที่พึงทำของพระองค์ ซึ่งมีมาตั้งแต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงขึ้นครองราชย์สมบัติ ตามที่ได้มีพระปฐมบรมราชโองการไว้ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ธรรมคือหน้าที่ดังกล่าวนี้เป็นข้อที่จะพึงทรงปฏิบัติ และทุกๆ คน อันหมายถึงผู้ปกครองที่มีระดับเป็นรัฐบาล ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ตลอดถึงประชาชนทั้งปวง เมื่อเป็นขึ้นมาอย่างใด ก็ย่อมมีธรรมคือหน้าที่ คือเป็นกิจที่พึงปฏิบัติเกิดขึ้นทันที
หลักธรรมมี 10 อย่าง คือ
1. ทาน ทานที่เป็นราชธรรมมุ่งความสุขของประชาชน ได้แก่ การให้ เพื่อสงเคราะห์อนุเคราะห์บูชา เพื่อให้ผู้รับได้มีความสุขจากสิ่งที่ให้นั้น ตัวอย่างเช่น ข้อที่พระมหากษัตริย์ทรงชุบเลี้ยงพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ข้าราชการ ด้วยพระราชทานพระราชทรัพย์เครื่องอุปโภคบริโภคภัณฑ์ ตามฐานานุรูปของบุคคลนั้นๆ อันได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณ และพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่องค์การหรือบุคคล และราษฎรอันเป็นผู้สมควรนั้นๆ ตามคราวอันควร และพระราชทานจตุปัจจัยแก่บรรพชิตผู้ประกอบกิจพระศาสนา นับเป็นการบูชาธรรมปฏิบัติ และยังได้ทรงปฏิบัติในข้อทานนี้อีกเป็นอันมาก โดยที่ได้ทรงระลึกถึงหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ที่จะพึงปฏิบัติ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข ให้แก่ประชาราษฎรโดยทั่วไป
2. ศีล คือเจตนาที่รักษากายกรรม วจีกรรม ให้ตั้งเป็นปกติดี เว้นจากประพฤติชั่วทุจริตชื่อว่าศีล ศีลในทางปกครองคือ การประพฤติตามกฎหมาย จารีตประเพณีอันดีงาม ในทางพระพุทธศาสนา อย่างต่ำคือ ศีล 5 อันชนทั่วไปพึงสมาทานรักษา คือ
- ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากผลาญชีวิตกันและกัน เว้นตลอดถึงสัตว์มีชีวิต
- อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากการถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของเขาไม่ยอมให้
- กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
- มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ
- สุราเมรยมชฌปมาทัฎฐานา เวรมณี เว้นจากดื่มสุราเมรัย
3. ปริจจาคะ คือการบริจาค เพื่อให้สำเร็จประโยชน์แก่ผู้รับ และเพื่อความสุขของผู้รับ เป็นการเฉลี่ยเผื่อแผ่ความสุขของตนแก่ผู้อื่น
4. อาชชวะ หมายถึง ความเป็นผู้ตรง คือซื่อสัตย์สุจริต โดยมุ่งเอาสัตย์คือความจริง ความประพฤติดีเป็นที่ตั้ง เมื่อสัตย์ หรือสัจจา ความจริงเป็นอย่างไร ก็ตรงไปอย่างนั้นมักจะใช้หมายทางวาจา คือพูดตามตรง ซื่อตรงคือมีความไม่คิดคดทรยศ หรือต่อองค์การหรือบุคคลที่พึงซื่อสัตย์สุจริต รวมถึงต่อมิตรสหายทั้งหลาย เพราะว่าองค์การหรือบุคคลดังกล่าวนั้น เป็นบุคคลหรือเป็นองค์การที่ตนเองไม่พึงคิดคดทรยศ และมิตรสหายก็เช่นเดียวกัน ไม่เป็นบุคคลที่มิตรสหายด้วยกันพึงคิดคดทรยศต่อกัน
5. มัททวะ หมายถึง ความเป็นผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยน คือ ความเป็นผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยน ไม่ดื้อดึงถือตนด้วยอำนาจ มีความอ่อนโยนไปตามเหตุผล ตามความสมควร ดังที่เรียกว่า การณวสิกะ เป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุการณ์ที่ควรดำเนิน และมีสัมมาคารวะต่อท่านผู้ใหญ่ผู้เจริญ อ่อนโยนต่อบุคคลที่เสมอกันและต่ำกว่า วางตนสม่ำเสมอ ไม่กระด้างดูหมิ่นผู้อื่นด้วยอำนาจมานะ เพราะชาติ เพราะโคตร เพราะยศ เพราะทรัพย์ เป็นต้น
6. ตบะ หมายถึง ความเพียร และความเพียรนั้นก็ต้องมีลักษณะที่เผาผลาญ เช่น เผาผลาญความเกียจคร้านอันตรงกันข้ามกับความเพียร เผาผลาญกิเลสที่บังเกิดขึ้น เผาผลาญอกุศลบาปธรรมทั้งหลายดั่งที่กล่าวมาข้างต้น
7. อักโกธะ หมายถึง ความไม่โกรธ ความโกรธซึ่งเป็นกิเลสข้อหนึ่งในกิเลส ๓ กอง ดังที่พูดกันว่าโลภ โกรธ หลง หรือโลภะ โทสะ โมหะ ความไม่โกรธจักมีได้ ก็เพราะมีเมตตา หวังความสุขความเจริญแก่ตนและต่อกันและกัน คนที่เป็นหัวหน้าปกครองก็ตาม เป็นผู้อยู่ในปกครองก็ตาม เมื่อแสดงความโกรธอออกมาให้ปรากฎ ก็แสดงว่าตนเองลุอำนาจของความโกรธ กิริยาที่แสดงความโกรธออกมานั้นก็ไม่งดงาม น่าเกลียดน่าชัง
8. อวิหิงสา หมายถึง ความไม่เบียดเบียน กิริยาที่ไม่เบียดเบียนให้ลำบาก คือ ความไม่ก่อทุกข์ยากแก่ผู้อื่น ตลอดจนถึงสัตว์ด้วยเห็นเป็นสนุกของตนเพราะอำนาจโมหะ เช่น ทำร้ายคนและสัตว์อื่นเล่น ชื่อว่าอวิหิงสา คนผู้รวมกันอยู่เป็นหมู่ ทั้งผู้ปกครอง ทั้งผู้อยู่ในปกครอง จะอยู่ด้วยกันได้เป็นสุขก็เพราะไม่เบียดเบียนกัน
9. ขันติ หมายถึง ความอดทน กิริยาที่อดทนต่อโลภะ ความอยากได้บ้าง ต่อโทสะ ความโกรธเคืองจนถึงพยาบาทมุ่งร้ายบ้าง ต่อโมหะ ความหลงงมงายบ้าง เพราะได้ประสบอารมณ์ที่ยั่วให้เกิด เมื่อมีอารมณ์มาประสบยั่วให้เกิดอยากได้ อยากล้างผลาญ อยากเบียดเบียน ก็อดทนไว้ ไม่แสดงวิกลวิการอันชั่วร้ายทางกายวาจาออกไป ตามอำนาจแห่งโลภะ โทสะ โมหะ และอดทนต่อทุกขเวทนา มีเย็น ร้อน เป็นต้น อันทำให้ลำบาก อดทนตรากตรำประกอบการงานต่างๆ อดทนต่อถ้อยคำที่มีผู้กล่าวชั่ว ไม่เป็นที่ชอบใจ ชื่อว่าขันติ
10. อวิโรธนะ หมายถึง ความไม่ผิด รู้ว่าผิดแล้วไม่ดื้อขืนทำ คือไม่ยอมทำผิดทั้งรู้ๆ ผิดในที่นี้ หมายถึงผิดจากข้อที่ถูกที่ควรทุกอย่าง เช่น ผิดจากความยุติธรรมด้วยอำนาจ อคติ ผิดจากปกติ คือเมื่อประสบความเจริญหรือความเสื่อม ก็รักษาอาการกาย วาจา ไว้ให้คงที่ ไม่ให้ขึ้นลงเพราะยินดียินร้าย คนสามัญทั่วไปในชั้นต้นยังทำผิดอยู่ เพราะไม่รู้ว่าผิด
-----------------------------------------
- 0
- 2 ปีที่ผ่านมา
รายละเอียดเพิ่มเติม
-
รหัสข้อสอบS9490630
-
รหัสข้อสอบS9490630