
- 0.0 (0)
- |
- ขายได้: 0
โดยทั่วไปมีความเข้าใจกันว่า คนที่ทำงานด้านการข่าวในยุคโลกาภิวัตน์ หรือโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน ย่อมรู้สถานการณ์และความเป็นไป ทั้งภายในและภายนอกประเทศดีกว่าคนอื่น รวมทั้งคนที่ทำงานด้านสื่อซึ่งเกาะติดสถานการณ์ความเป็นไปของบ้านเมือง ย่อมรู้ข้อมูลดีกว่าประชาชนทั่วไป ยิ่งรู้มากก็สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้เข้าใจและลึกซึ้ง ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นบทความเชิงวิเคราะห์ดีๆ มากมายในสื่อประเภทต่างๆ รวมทั้งสื่อออนไลน์บนเพจ Facebook และ Youtube
เจ้าหน้าที่ข่าวกรอง โดยทั่วไปคนมักจะนึกถึงหน่วยปฏิบัติการ CIA, FBI, MI6 ของต่างประเทศผ่านบทภาพยนตร์และนวนิยายต่างๆ ส่วนหน่วยข่าวกรองในประเทศของไทยนั้น มีทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยดังกล่าว ล้วนได้รับการฝึก ศึกษา อบรม มาเป็นอย่างดี ในด้านการรวบรวมข่าว ทั้งการรวบรวมข่าวเปิด และการรวบรวมข่าวทางลับ การประเมินแหล่งข่าวและข่าวสาร การวิเคราะห์วิจัยข่าว การตีความข่าว การบอกแนวโน้มของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น การรวบรวมข่าวซึ่งยากอยู่แล้ว การวิเคราะห์ข่าว และการตีความข่าวยิ่งยากกว่าหลายเท่า เจ้าหน้าที่ข่าวกรองซึ่งมีความรู้และประสบการณ์น่าจะเข้าใจสถานการณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองได้อย่างลึกซึ้ง ถูกต้อง ดีกว่าคนอื่น โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชนเป็นที่ตั้ง
แต่ก็มีคำถามตามมาว่า ที่ว่าถูกหรือดีนั้นถูกของใคร หรือผิดของใคร ของสิ่งเดียวกันคนหนึ่งว่าเป็นความดี แต่อีกคนกลับบอกว่าเป็นความชั่ว เนื่องจากแต่ละคนอาจตีความเข้าข้างตัวเอง โดยเอาผลประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวกเป็นที่ตั้ง เมื่อผลประโยชน์ส่วนตนและพวกขัดกัน ก็จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง เพราะแต่ละฝ่ายต่างอ้างว่าตนเป็นฝ่ายถูก ถ้าทุกคนยึดเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งก็น่าจะหาข้อยุติได้ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา ยึดหลักการ ไม่ใช่หลักกู
ประเทศไทย ซึ่งได้พัฒนาเข้าสู่ยุคสังคมข่าวสารเรียบร้อยแล้ว ทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนจะได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่ว่า ใครจะพยายามค้นหามากกว่ากัน ส่วนจะชนะหรือแพ้ อยู่ที่ใครจะสามารถแปลงข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นความรู้ได้ดีกว่ากัน และใครจะทำความรู้นั้นให้เกิด ปัญญา และนำไปปัญญานั้นไปใช้ได้เร็วกว่ากัน โดยสอดคล้องกับสถานการณ์
งานด้านข่าวกรอง
ข่าวกรอง คือ ความรู้ เจ้าหน้าที่ข่าวกรอง (Intelligence) คือ ผู้มีความรู้ มีปัญญา ถ้าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญา ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เพราะเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง เป็นเครื่องมือและมีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงของชาติ ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กองทัพ หากการข่าวกรองส่งสัญญาณที่ผิดแก่กองทัพ และหน่วยงานความมั่นคงอื่น ลองคิดดูก็แล้วกันว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ดังนั้น เจ้าหน้าที่ข่าวกรองต้องสามารถวิเคราะห์ได้ว่า ชาติบ้านเมืองปัจจุบันเผชิญกับสิ่งท้าทาย และภัยคุกคามหรือไม่อย่างไร เพราะถ้าระบุสาเหตุ หรือต้นตอของภัยคุกคาม และปัญหาผิดพลาด การแก้ปัญหาก็หลงทาง
งานด้านข่าวกรอง ถือเป็นกลไกหลักที่สำคัญในการป้องกันฝ่ายตรงข้ามเจาะเข้ามาได้ ซึ่งหน่วยที่มีความลับจะต้องทบทวน และกำหนดมาตรการ รปภ.อย่างเข้มงวด ตามระเบียบการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ และระเบียบการรักษาความลับทางราชการ กล่าวคือ
รปภ.บุคคล ต้องตรวจสอบประวัติ ภูมิหลังของผู้ทำงานอย่างเข้มงวดก่อนที่ผู้นั้นจะเข้าทำงานที่เกี่ยวกับความลับ และต้องมีการตรวจสอบเป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม เพราะพฤติการณ์ของคนสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลาบนสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
รปภ. สถานที่ ต้องกำหนดพื้นที่หวงห้ามสำหรับบุคคลที่เข้าถึงความลับในระดับต่างๆ ไม่ใช่ว่าใครก็ได้เข้าไปถึงพื้นที่ที่ความลับสูงสุดได้ เจ้าหน้าที่ รปภ.ต้องทำงานหนักขึ้น และให้มีการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ทั้งทางเปิดและทางลับคอยตรวจสอบตลอดเวลา
รปภ.เอกสาร ต้องเก็บเอกสารลับไว้ในตู้เซฟตลอดเวลา พร้อมกับมีกุญแจรหัส การเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ต้องมีรหัสเฉพาะที่ไม่ให้คนอื่นเจาะเข้าไปดูได้ รวมทั้งแฮคเกอร์ด้วย
รปภ.องค์การ ต้องยึดหลัก “งานใครงานมัน ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน” (Compartmentation) และหลักการ “จำกัดให้ทราบเท่าที่จำเป็น” (Need to know) เพื่อป้องกัน และจำกัดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุดหากเกิดรูรั่วขึ้นมา ไม่ให้องค์การเสียหายทั้งหมด
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหารหลายนาย ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า บ้านเมืองวันนี้มีปัญหาความมั่นคงหลายด้าน เช่น ความแตกแยกของคนในชาติ การก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาภัยแทรกซ้อน ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบต่อคนทุกระดับและทั่วประเทศ โดยปัญหาต่างๆ ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วและยังดำรงอยู่ มีระดับความรุนแรงแตกต่างกันไป แต่พอระบุถึงต้นตอของปัญหา โดยเฉพาะสาเหตุของความแตกแยกของคนในชาติ ถึงจุดนี้เริ่มมีความเห็นที่แตกต่างกันไป เพราะเริ่มจะมองปัญหาโดยมีความชอบส่วนตัว และความไม่ชอบส่วนตัวของบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง พูดง่ายๆ คือ ความแตกแยกของคนในชาติ ระบาดเข้าไปในกลุ่มเจ้าหน้าที่ข่าวกรองด้านพลเรือน ตำรวจ และทหาร ด้วยเช่นกัน
เป็นที่น่าเสียดายว่า เจ้าหน้าที่ข่าวกรองจำนวนไม่น้อยมีปัญหาด้านสุขภาพทางปัญญา หรือจุดอ่อน นั่นคือ ไม่สามารถแยกแยะได้ออกว่าอะไรคือความดี ความชั่ว และก้าวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบัน ที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเมืองการปกครองในประเทศ ที่สำคัญคือ ยังไม่เข้าใจหัวใจของคำว่าประชาธิปไตย ในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน การมีส่วนร่วมของประชาชน ระบบการตรวจสอบและการถ่วงดุล ด้วยมี ลาภ ยศ สรรเสริญเป็นสิ่งขวางกั้น รวมทั้งในชีวิตคิดได้เพียงแค่เมื่อถึงฤดูโยกย้ายเดือน เม.ย. หรือ ต.ค. ตนจะได้นั่งอยู่ในตำแหน่งต่อหรือจะถูกย้ายหรือไม่
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองจำนวนไม่น้อย ไม่เข้าใจการเมืองภาคประชาชน ที่พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และมีทัศนะคับแคบ ล้าหลัง ตามไม่ทันกับการพัฒนาการเมืองของประเทศ ทำให้เกิดทัศนะเหมือนกบในกะลาครอบ ที่ไม่ยอมโผล่ออกมาดูโลกภายนอกว่าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพียงไร การวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองบางคน จะมองเฉพาะเชิงปริมาณเท่านั้น แต่ไม่ได้มองในเชิงคุณภาพ ทำให้มุมมองไม่กว้างและลึก สู้นักข่าว นักวิเคราะห์ดั่งเช่นสื่อมวลชนไม่ได้ ซึ่งการระบุสาเหตุหรือต้นตอของปัญหาผิดพลาด ทำให้การกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา และการจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของปัญหาไม่ถูกต้อง โดยให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาของรัฐบาล มากกว่ามุ่งแก้ปัญหาของรัฐ
จะเห็นว่า ลักษณะของงานและความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ อาจทำให้การปรับเปลี่ยนความคิดค่อนข้าง แข็ง และไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร เพราะมุ่งรับใช้รัฐบาล โดยอ้างวินัยเป็นตัวบังคับ ไม่ว่ารัฐบาลนั้นดีหรือเลวเพียงไร เจ้าหน้าที่ข่าวกรองซึ่งเป็นเครื่องมือของรัฐบาล มักถูกใช้เข้าไปเกี่ยวพันกับผู้เห็นต่างจากรัฐบาลอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ทำให้มองไม่เห็นหรือวิเคราะห์สถานการณ์ความเป็นจริงไม่ออก แทนที่จะสู้กับศัตรูของชาติ กลับไปวุ่นวายสู้กับศัตรูของรัฐบาลหรือผู้เห็นต่างแทน
บทสรุป
ความล้มเหลวของงานด้านข่าวกรอง ที่น่าจะเป็นกรณีศึกษาได้ คือ สถานการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัจจุบันถือได้ว่ามีระดับความรุนแรงที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของชาติ และร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่กลุ่มคนร้ายบุกปล้นอาวุธปืนกองพันพัฒนาที่ 4 เมื่อ 4 ม.ค. 2547 จากนั้นได้เกิดเหตุการณ์ฆ่าผู้บริสุทธิ์ทั้งไทยพุทธ มุสลิม เผาสถานที่ราชการและสาธารณูปโภคสำคัญๆ เป็นรายวัน ทั้งที่เป็นของรัฐและภาคเอกชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของงานด้านการข่าวในพื้นที่ เพราะไม่รู้การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามเลย แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีการตระเตรียม ประชุม วางแผน ทั้งสถานที่ กำลังคน และอุปกรณ์จำนวนมาก โดยไม่สามารถหาทางยับยั้งได้เลย
ส่วนในทางการเมือง ยังมีเจ้าหน้าที่ข่าวกรองหลายคน ที่แยกแยะออกระหว่างความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ต้องรับใช้รัฐบาล หรือปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แม้ว่าจะขัดกับความรู้สึกของตนก็ตาม กับความเป็นประชาชนคนไทย เพราะเขารู้ดีว่าว่าอะไรคือผิดชอบชั่วดี ในขณะที่สวมหมวกเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องรับใช้รัฐบาล แต่อีกด้านหากคิดแบบเป็นประชาชนคนไทย เขาจะมุ่งรับใช้รัฐ ซึ่งประกอบด้วยประเทศชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชน ที่มีความสำคัญกว่า เพราะรัฐบาลมาแล้วก็ไป (ไม่ว่าจะมาจากการยึดอำนาจ หรือจากการเลือกตั้ง) แต่ประเทศชาติต้องคงอยู่ตลอดไป ที่ผ่านมา รัฐบาลพลเรือนและรัฐบาลทหารหลายรัฐบาลในอดีตที่ต้องพังลงไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้ข้อมูลเชิงเอาใจจากหน่วยข่าวกรองที่ไม่ทำงานแบบตรงไปตรงมา ดังนั้นรัฐบาลที่ตั้งใจบริหารประเทศเพื่อชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชน ต้องกล้าที่จะฟังสิ่งที่ไม่สบายใจจากรายงานข่าวกรอง และหน่วยข่าวกรองต้องกล้ารายงานความจริง แม้ว่าจะทำให้รัฐบาลไม่สบายใจก็ตาม เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดให้เป็นถูก ฉะนั้น ณ วันนี้ องค์การหน่วยข่าวกรอง และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ด้านงบประมาณ กำลังพล จะต้องถูกตรวจสอบโดยภาคประชาชนด้วยเช่นกัน
***********************

- 0
- 2 ปีที่ผ่านมา
รายละเอียดเพิ่มเติม
-
รหัสข้อสอบS6150630
-
รหัสข้อสอบS6150630